ชีวิตจริงบนหลังราชสีห์
๕ ธันวาคม ครบรอบ ๓๗ปี ชนนี๑เดียวในดวงใจยาตราสถิตเรือนชานมายาเทวี ๑วันในวันวานเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งให้๙เดินบนวิถีแห่งศรัทธาเคียงพระนาม *** ศรีมหากาลี *** ย้อนวันวานในวันนี้จากเด็กคนนึงที่เติบโตมาโดยไม่รู้ความอะไรเลยในเรื่องของศาสตร์แห่งศรัทธาด้วยมายาในมหามายาต่างอารยว่าด้วยศรัทธา ไม่รู้ความแต่ก็ไม่เคยถามความที่ไม่เคยรู้กับใครไม่เคยซื้อหาตำราว่าด้วยเทพเทวดาที่วางจำหน่าย รวมไปถึงเอกสารพิมพ์จ่ายแจกลดแลกแจกแถมว่าด้วยตำราบูชาวิชาเทพเจ้ามาศึกษา คิดในใจเสมอว่าทุกสิ่งว่าด้วยตำรานั้นก็เล่าผ่านตัวอักษรหลายล้านตัวมารวมกันขึ้นเป็นบทความผ่านเรื่องเล่าจากมโนจิตความเป็นคนด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีตำราเขียนถึงเทวดาใดในโลกร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเทวดาเขียนที่ไหนเล่า คนและฅนด้วยกันเองทั้งนั้น อาชีพคนชอบเขียนคัดลอกสำนวนความเดิมๆที่เคยมีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกฟรี ไม่นะไม่ๆเคยน้อยเนื้อต่ำใจใดๆในความไม่รู้ รู้ต้องรู้ให้จริง รู้แท้รู้จริงต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวันถึงเรียกว่า ตำราชีวิต ดิฉันเองก็เป็น๑คนชอบเล่าก็เลยชอบเขียน แต่ไม่ได้คิดเขียนคำเล่าหวังขายเป็นอาชีพ เขียนไว้วันหน้าว่างย้อนกลับมานั่งอ่านในสิ่งที่ชอบเล่าผ่านตัวหนังสือถึงเหตุในแต่ละไว้วันผ่านจอ แม้คนในสังคมยุคสมัยนี้นิยมอ่านหนังสือไม่เกินบรรทัดสุขของคนชอบเขียนเมื่อได้เล่าความผ่านตัวอักษร ก็สุขใจเจ้าค่ะ …
ดิฉันเป็น๑คนที่ชอบเล่าความในวันวานที่ผ่านมาให้คนรอบข้างฟัง ผู้คนแปลกหน้าอาจจะไม่เคยได้สัมผัสอรรถรสในการเล่าผ่านปากจากดิฉันแต่คนรอบข้างจะรุ่นไหนต่อรุ่นไหนต่างทราบกันดีว่าไม่ว่าอรรถรสครบทุกรสจะเล่าความในอารมณ์ไหนของชีวิต สนุกสนานพาเพลิน หรืออารมณ์วีนแตกก็จะมีวลีคำสอนให้คนรอบข้างดิฉันฟังมาโดยตลอด เป็นคนชอบสอน(ฟรี)ฟรีที่สอนเลยไม่มีค่าทั้งๆที่ผู้ฟังต่างเก็บเรื่องราวที่ได้ฟังผ่านปากดิฉันไปสร้างค่ามีราคาก็ด้วยประสบการณ์ความเป็นดิฉัน แม่พระเพลิง โดยเฉพาะเรื่องเล่าขยายความบาทวิถีแห่งศรัทธาในมหามายาผู้คนรอบข้างมักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่การเล่าเรื่องศาสตร์ความเชื่อส่วนบุคคลหาใช่พาผู้ฟังให้บังเกิดความมโนจิตร่วมวงแสดงอาการจิตหมู่แต่อย่างใด เรื่องเล่าผสมผสานสอนคล้องทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เป็นเรื่องเดียว ประสบการณ์ชีวิตกับความเป็นจริง จริงที่ผ่านมากว่า๓ทศวรรษมีแต่สุข สุขใจนำส่งให้กายในศรัทธามากสุขทุกวินาที เมื่อ๙-๒เท้าขึ้นยืนสรรเสริญถวายเบื้องหน้าพระมารดาชนนีแห่งศรีตรีจักรวาล สุขใจที่สุดเจ้าค่ะ …
*** องค์เจ้าแม่ ศรี มหาอุมา-กาลี เทวี ***
เข้าเรื่องคนชอบเล่าผ่านมุมชีวิตบนหลังพญาราชสิงห์ที่ใครต่างก็อยากขึ้นนั่ง นั่งดีหาได้เป็นศรีสง่ากับตัวเองไม่แท้จริงนั้นชีวิตบนหลังพญาราชสีห์ก็คือดาบ๒คมโดยแท้ สมปรารถนาอะไรก็ดีไปหมด ถ้าสิ่งที่ขอไม่ได้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาโหมกระหน่ำสาดด่าไม่เว้นวันมันคือเรื่องจริง ชีวิตหลังพญาราชสีห์ไม่ต่างอะไรกับชั้นเรียนภาคปฏิบัติที่ผ่านเข้ามาให้เรียนรู้ในแต่ละวัน มีสิ่งใหม่หมายถึงสลับเปลี่ยนหน้าตามคำบอกเล่าเวียนผ่านเข้ามาให้ศึกษาเรียนรู้ในกายวิภาคภายนอกของคน(มีทุกข์) ทุกข์ที่มีนั้นต่างสร้างขึ้นด้วยตัวเองทั้งสิ้นวิถีของคนจริงคนโดยแท้-คนกันจริง-คนกันจัง-คนไม่เคยหยุดนิ่งนั้นก็คือ คน คนทุกคนต่างกันที่ความคิดในความต่างกันคนแต่ละคนเลือกกระทำตนให้เกิดทุกข์มากกว่าสุขผ่านการวาดฝันบนความมโนเพ้อพบ พระชนนี๑เดียวในดวงใจไม่เคยกล่าวสิ่งใดมากไปกว่า *** ดูแล้ว-เห็นแล้ว-ให้ย้อนคิดพิจารณา *** สิ่งที่เวียนผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนต่างมีลมหายใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่๑สิ่งที่ตามติดเสมือนเป็นเงาตามตัวนั้นคือเงาแห่งกำในกรรม บ้างก็กรรมซ้อนกำที่ครอบงำความดีที่เคยมีไว้จนหมดสิ้น …
และนี่คือ๑ปัจจัยหลักสำคัญไฉนเทพเทวดาถึงไม่มีคนเป็นพาหนะและไร้สิ้นมนุษย์เคียงข้างไว้เล่าขานเคียงตำนานในเทวปกรณัม ก็ด้วยคนเรานั้นต่างไม่รู้จักในความเป็นตนและคนต่างไม่เคยหยุดนิ่งกับความเป็นตน ตรงกันข้ามคนทุกคนต่างเกิดความโลภในกิเลสสันดานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หากวิถีคนเหล่านี้ไม่รู็ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองกิเลสในใจก็จะลบล้างความบริสุทธิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเกิดเป็นเราให้จายหาย ทุกข์ทางใจจะบั่นทอนเผ่าพันธุ์ความเป็นมนุษย์ที่ไม่รักษาไว้ด้วยพันธุกรรม จึงเกิดวิบากแห่งกรรมมากบ้างน้อยบ้างก็สุดแล้วแต่ความคิดผ่านการกระทำของผู้นำในสังคมรอบข้างของแต่ละบุคคลชักนำพา หลายต่อหลายคนที่๙เท้าขึ้นเรือนมาหาเรามากด้วยวิบากแห่งกรรมด้วยความคิด มี มีวลีคำเดียวเท่านั้นที่นำพาคนเหล่านั้นให้บังเกิดทุกข์หนักไปกว่านั้นคือ *** กรรมที่ซ้อนกำ *** สิ่งที่เขาเหล่านั้นต่างกำไว้ไม่สามารถแบบมันออกมาได้นั้นก็คือ ความลับ ลับที่ต้องปิดซ้อนไว้ในจิตบอกใครมิได้ต้องปิดเป็นความลับไปจนวันตายเช่นนั้นหรือ น่าเวทนาเป็นที่สุด กับวิถีคนมากกำนะเจ้าค่ะ …
*** แสงสว่างสาดส่องใจ ***
กิเลสคำเดียวในใจคนแต่ละคนตนคิดต่างอยากได้และคิดอยากมีในแบบที่ตนได้เห็นและสัมผัสผ่านสายตารับรู้ด้วยใจว่า ต้องมี ต้องได้ แต่ไม่คิดทำให้ได้มาครองสมใจให้ถูกทาง ทุกสิ่งที่คนและคนเช่นเจ้าเริ่มต้นคิดอยากจะมีเหมือนคนอื่นเริ่มขึ้นต้นด้วยการมองเห็นตามด้วยความคิดแต่ขาดการพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนลงมือกระทำให้ได้ในสิ่งนั้นให้มาครองสมใจนั่งเอง เกิดกำเนิดเกิดเป็นคนก็คือคนหาใช่เทพเจ้าเช่นเราลิขิตให้เจ้าเป็นหรือก็ไม่ เราไม่รู้จักใครมีแต่ใครต่อใครต่างรู้จักนามแห่งเราจงดูเขาเหล่านั้นไว้เป็นตำราสอนใจ วิถีแห่งมายามันมีทั้งจริงที่เห็นและลวงที่เป็นด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีใครจะตอบโจทย์แห่งมายาแสร้งสาไถได้เท่าคนผู้นั้นที่จะย้อนตอบใจตนเองว่าเป็นเพราะเห็นเขาเป็น หรือเป็นด้วยหน้าที่ๆพึงจะเป็น ความจริงจะนำพาให้เจริญ ความแถเท็จจะนำพาความพินาศสิ้นมาสู่ตน …
ใครลวงเราไม่ทุกขเวทนาเท่าเราเฝ้าลวงหลอกตัวเราเอง หลอกตัวเองก็คือกรรมที่ติดตัวไปจนตายความลวงคือทุกข์ที่ยากจะเปลี่ยนเป็นสุขได้ จงมองสิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้นที่เจ้าเรียกว่า คน คนที่๙เท้าขึ้นเรือนมาพบหน้ากับเราไว้เป็นตำราชีวิตสอนใจ อย่าได้คิดหยิบยกมาเป็นแบบอย่างอยากได้อะไรอย่าแสร้งนามแห่งเราบัญชา อยากมีอะไรก็อย่าได้เอ่ยนามแห่งเราปรารถนา ความมืดมิดมันไม่มีอยู่ในโลกด้านใดมืดฝั่งตรงข้ามย่อมมีแสงสว่างสาดฉายแสงให้บังเกิดเงา เจ้าคือสิ่งทึบแสงที่เราฉายแสงผ่านให้เกิดเงาแห่งมายาความมืดที่เจ้าเป็นหาใช่มืดมิดเสมอไป ชีวิตคือชีวิตอย่าได้สวมเงาใครมาเป็นตนคนทุกคนต่างมีเงาเดียวนั้นคือเงาแห่งตน จงหมั่นหันหลังกลับไปมองเงาที่ทอดผ่านเจ้าจะเห็นในสิ่งที่เจ้ากำลังกระทำ เจ้าเดินเงานั้นก็เดินตามเจ้า เจ้านั่งหากมีแสงสว่างสาดส่องเงาเจ้าก็นั่งเช่นกัน ภาพที่สะท้อนผ่านเงาจงมองด้วยพิจารณาด้วยสติ และพึงย้อนคิดพิจารณาว่าควรหรือมิควรกระทำดั่งเงาสะท้อนเงาที่เจ้าเห็น ทำในสิ่งที่เราบอกทำในสิ่งที่เราชี้นำให้ทำเจ้าลงแรงกระทำในวันนี้จนวันสุดท้ายก่อนลาภพของเจ้ามาถึงก็ยังทำมิแล้วเสร็จ ศีรนั้นคือพรแห่งศรีสรัสวดีชนนี มหาคีตาจารย์แห่งปัญญาจะอำนวยอวยชัยให้ปัญญาแตกฉาน แม้ใครในความต่างจะร้าวฉานในวิถีที่เจ้ากระทำก็จงเดินเลยผ่านมันผู้นั้นไป อย่าได้เก็บมันมาจำจดไว้ในใจ ใจคือความทรงจำของมนุษย์ วิถีแห่งความเจริญตนนั้น ตนเป็นที่พึงแห่งตน หาใช่ตนนั้นต้องพึงพาใครให้เจริญ …
ชนนี๑เดียวในดวงใจกล่าวไว้ว่า *** ตนเป็นที่พึงแห่งตน *** ไม่ว่าใครต่างก็เจริญด้วยตนเจ้าเองก็เช่นกันหาได้เจริญ๙หน้าในชีวิตได้ด้วยเรากระทำให้เจ้าเป็น เราเพียงสาดแสงส่องผ่านให้เจ้า๙เดินสิ่งที่สร้างสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นด้วยจิตคิดมโนไปด้วยภาพลักษณ์ของจินตนาการนั้นหรือ คือ เราไม่ เราเป็นเพียงแสงที่ฉายผ่านวัตถุทึบแสงให้บังเกิดเงาแห่งมายาที่ผู้คนกำลังจ้องมองแสงที่ทอดผ่านนั้นได้เรียนรู้ รู้แท้นั้นต้องรู้ให้จริงจะเป็นผู้นำคนไม่ศึกษาสัมผัสใกล้ชิดกับผู้คนมากหน้าหลายตาแล้วเจ้าจะดูคนออกได้เช่นไร ตาทิพย์หูทิพย์ญาณทิพย์ไม่มีอยู่จริงในจักรวาล ทุกอย่างที่แสร้งทิพย์นั้นเกิดขึ้นด้วยความมโนจิตของคนทั้งสิ้น ศาสนว่าด้วยพิธีสถาปนามูรติแห่งเรายังต้องเบิกเนตรเบิกกรรณด้วยจิตมนุษย์ผู้เอ่ยความร่ายเวทย์ผ่านปากสาวกแห่งเราแล้วเรานั้นจะมีหู-ตาเป็นทิพย์ได้เช่นไรเล่า เราเหล่าเทพเวดาจะมีญาณเป็นทิพย์ได้เช่นใดเล่า คนทุกคนบนเส้นทางชีวิตมายาศาสตร์ต่างหวังสำเร็จเป็นยอดคนโดยอาศัยศรัทธาเป็นตัวหนุนนำส่ง ชีวิตกับความเป็นจริงไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ใดๆบนโลกใบนี้บังเกิดขึ้นด้วยพรแห่งเทพเทวดา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้คือวิถีที่ถูกกำหนดและสร้างขึ้นมาเพื่อสนองความชอบ บนความอยากเป็นของมนุษย์ทุกคนด้วยกันเองทั้งสิ้น …
อย่ามองสิ่งที่เป็นให้บังเกิดความหลงไหลขึ้นมาในใจเจ้าเพราะต้นเหตุแห่งความหลงไหลนั้นจะนำพาให้เจ้านั้นหลงไหลไปกับมายาจนเกิดความพอดี ดีที่ทำนั้นต้องหมั่นทำและเพียรสร้างด้วยตัวเจ้าเอง อย่าได้ใช้ให้ใครทำแทนในคำว่า บุญ อย่าได้ว่าจ้างไหว้วานใครมาสร้างในคุณงามความดี คำว่าดีมันสั้นพึงทำให้เป็นนิสัยนานวันไปจะกลายเป็นคนสันดานดีเอง เนื้อไม้หากหมั่นเพียรขัดยังไร้สิ้นเสี้ยน ชีวิตพึงหมั่นเพียรเรียนรู้ก็จะไร้สิ้นซึ่งอุปสรรคขวากหนาม ความดีที่มีต้องทำให้สม่ำเสมอพักวางความดีนั้นเสียนานดีที่เคยทำมันก็จะจางหายไปในที่สุดและท้ายที่สุดของความดีก็ต้องหมดสิ้นลงด้วยวิถีมายาลวงที่เจ้าหลงไหลไปกับมันจงจำไว้ให้ขึ้นใจ เกิดเป็นคนอย่าทำให้สิ้นซึ่งเผ่าพันธุ์ความเป็นคนที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เกิดเลือกไม่ได้แต่เมื่อได้เกิดแล้วเจ้าจงเลือกกระทำได้ บุญหาใช่ต้องใช้ทรัพย์ซื้อหามาครองใจหากใจมีความเมตตา จิตมีความกรุณา เผื่อแผ่๓วลีคำนี้ให้คนเคียงเจ้าได้ยึดถือปฏิบัติตามนำพาไปสู่ ความเจริญ …
ทุกครั้งที่ผงชาดสีแดงโปรยปรายทั่วเรือนชานมายาเทวีนั้นก็หมายถึงการยาตราชนนี๑เดียวในดวงใจได้เสร็จสิ้นลง ทุกสิ่งที่ผ่านไปคือคำสอนชี้นำให้สายใยสายศรัทธาในนามแห่งชนนียืนหยัดนำไปปรับใช้ แต่จะมีกี่คนที่นำไปใช้ในการดำรงชีวิตจริงในแต่ละวัน เจ้าจงมองดวงตะวันที่สาดฉายแสงจร้าบนท้องนภายังมีชึ้นและดับแสงลับขอบฟ้าในทิศทางที่ตรงกันข้ามเลย ดวงตะวันไม่เคยหยุดพักหมุนโคจรให้ความสว่างพร้อมตื่นสิ้นแสงพร้อมพักสำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้อย่างเท่าเทียมกัน กลไกลของความเป็นคนก็เช่นกันต้องมีตื่นมีหลับพักกายาก่อนหลับตาลงนอนพึงย้อนคิดทบทวนความในสิ่งที่กระทำในวันนี้ สิ่งใดคือสุขและสิ่งใดคือทุกข์ ดวงตะวันยังสิ้นแสงได้ฉันใด ฉันนั้นเกิดเป็นคนต้องดับแสงแห่งวิบากกรรมที่กำเนิดเกิดขึ้นในจิตเจ้าให้จงได้เช่นกัน อย่าคาดหวังในสิ่งใดที่ยังมาไม่ถึงตัวเพราะสิ่งเหล่านั้นหาใช่ความจริงที่บังเกิดไม่ จงประคองตนด้วยสติใช้ปัญญาที่มีเพียรฝึกฝนสิ่งที่รู้ต้องรู้ให้ถ่องแท้ แท้ที่จริงแล้ววันเวลาที่เวียนผ่านสอนให้เจ้านั้นพบเจอกับตัวตนที่แท้จริงเมื่อพบแล้วในทางที่ชอบพึงก้าวเดินไปพร้อมกับความเป็นจริงที่เจ้าเป็น อย่าได้หลงในภาพฉายที่บังเกิดเงาแห่งเราขึ้นข่มใคร เหนือฟ้าก็คือฟ้า สุดของปฐวีนั้นก็คือดิน อย่าหลงในวารีที่มีอยู่ในปากที่เรียกว่าน้ำลายสุดของวารีนั้นหาใช่เนื้อหนังมังสาที่โอบอุ้มวารีไว้ได้ แต่แท้ที่จริงนั้นสุดของชลธารวารีคือศิลาและปฐวี ความจริงจงเจริญ …
สัจธรรมกับชีวิตจริงเป็นสิ่งที่พึงอยู่เคียงคู่กันถ้าคนเรามองธรรมให้เป็นรูปก็จะได้รูปธรรมคือสิ่งที่มองเห็นและรับรู้ได้ด้วย ตา จมูก ลิ้น และกายาอันได้แก่ รูป รส กลิ่นและเสียง ถ้าเรารู้เพียงนามธรรมนั้นก็คือการรับรู้ได้ทางใจสืบสานต่อถ่ายทอดผ่านรูปธรรมนำแต่งให้เป็นจริง แต่จะจริงแท้ขนาดไหนนั้นต้องใช้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กับ๑สิ่งที่เรียกได้ว่า ศรัทธานำพา การจะนำพาใครให้ก้าวเดินบนวิถีแห่งความเป็นจริงนั้นบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องยากที่ผู้คนเหล่านั้นจะเข้าถึง ที่เข้าถึงยากนั้นก็คือ ใจ คนนั้นยากที่จะเอาชนะใจตนเองคนทุกคนต่างมีความคิดมีความชอบและมีความมิชอบที่แตกต่างกัน เส้นทางของความสำเร็จในชีวิตคนจึงใกล้และไกลต่างกันนั่นเอง พระชนนี๑เดียวในดวงใจกล่าวถึงวิถีแห่งศรัทธา คือ ความเป็นจริง จริงที่ต้องมีใจเป็นกลางและพร้อมเปิดใจให้กว้างกับสิ่งต่างที่เวียนผ่านมาในแต่ละวันของชีวิต เพราะสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตคนนั้นก็คือคน รูปแห่งคน นามแห่งคน และท้ายสุดนั้นก็คือการกระทำของคนในแต่ละคน คนแล้วก็คนเล่าที่เล่าอ้างถึงมายาในมายาสะท้อนเงาฉายจากนามแห่งเรา เราไม่มีสิทธิ์ร้องขอสิ่งใดจากมนุษย์ผู้ศรัทธาในเราแม้เพียงพลังแห่งศรัทธาในจิตของมนุษย์เช่นเจ้าเราก็หาได้ร้องขอให้มีไม่ ตรงกันข้ามมนุษย์ผู้กำเนิดเกิดศรัทธาในเราต่างหยิบยกนามแห่งเราขึ้นสวมตน เรียกร้องขอสิ่งต่างจากผู้ศรัทธาหาใช่เราชนนีบนหลังพญาราชสีห์ไม่ …
ศาสนว่าด้วยพิธีกรรมหาใช่สิ่งที่เคียงคู่กับการเคารพสรรเสริญถวายต่อเราไม่ เพราะเรามีผู้สรรเสริญถวายต่อเรามาตั้งแต่ต้นกำเนิดเกิดเป็นเราเราฟังเสียงปักษา-สกุณาพิภิรมย์ เรามีเสียงสรรพสัตว์ขยับปีกในยามราตรีกาลบรรเลงถวาย เรามีสายลมพัดผ่านบรรลือเสียง เรามีสายชลธีธารไหลหลากเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล หาใช่ผู้คนที่เวียนเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนศาสนว่าด้วยพิธีมาสรรเสริญบูชาต่อเรา จงสอนคนให้รู้ถึงพิธีที่ไม่เป็นกรรมพ่วงท้ายนั้นก็คือสอนให้รู้ถึงคุณค่าในแต่ละสิ่งที่นำพามาถวายต่อเรา ปฐวี-ดิน ชลธี-น้ำ บุปผา สรรพสิ่งว่าด้วยสรรพสัตว์ บอกกล่าวเล่าให้เกินสิบของใช้ในศาสนว่าด้วยพิธีต้องเริ่มเรียนรู้จากการแสวงหา เมื่อหาถึงแหล่งพึงกราดตามองให้รอบด้านทุกสิ่งที่กำหนดไว้ว่ามงคลนั้นหาใช่มนุษย์เช่าเจ้าได้สร้างขึ้นตรงกันข้ามสิ่งที่รังสรรค์สร้างขึ้นนั้นคือ ธรรมชาติ จงนำสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาสรรเสริญถวายต่อเราๆเคยในแบบที่เราเคย ตรงกันข้ามเราไม่เคยในแบบที่มนุษย์ปรุงแต่งถวายผ่านการบูชาให้เราเป็น …
พึงมองหาแต่มิใช่ค้นหาค่าของคนที่เจ้าสอนในแต่ละคนให้กระจ่างในจิตเขาผู้นั้นคือสายใยที่ควรเก็บไว้เคียงข้าง หรือเส้นสายที่พึงวางทิ้งไว้ข้างทางที่เดินผ่านไม่หยิบจับขึ้นสานต่อ ผู้รักในการบูชาถวายต่อเราจะเรียนรู้เพื่อบูชาด้วยความเพียร แต่ก็จะมีบางจำพวกที่เสนอตนขึ้นเสมอเรือนเป็น๑ผู้ร่วมศรัทธาเพียงเพื่ออยากรู้ในสิ่งที่เจ้าหยิบจับขึ้นถวายต่อเรา พักลักจำไม่ได้นำพาให้รู้จริงอย่าได้เก็บฅนเช่นนี้ไว้บนเรือนจะนำพาให้เสื่อมเสียมาถึงต้นสายว่าด้วยพิธี เส้นสายเหล่านั้นคือกรรมซ้อนไว้ด้วยกำ เลือกคนทำๆในสิ่งที่คนแต่ละคนพึงกระทำตามความถนัดของคนแต่ละคนมีติดตัวมาแตกต่างกัน ค่าของคนอยู่ที่กาลเทศะก่อนจะหยิบจับในสิ่งที่กำลังเรียนรู้ รู้คนต้องรู้เสียก่อนว่าคนทุกคนมีความชอบผ่านความเพียรตนในศรัทธาที่ไม่เท่ากัน หยิบจับของไหว้ของบูชาด้วยมารยาทก็แตกต่างกัน สิ่งที่เจ้าผ่านมาในชีวิตตั้งแต่แรกเริ่มจงทำให้เป็นรูปนามธรรม ไม่มีใครรู้มาก่อนถึงสิ่งที่พึงกระทำทุกคนเมื่อเริ่มปฏิบัติลงมือทำย่อมมีผิด ผิดนั้นอย่าได้ให้ผิดคน มองคนต้องมองตั้งแต่เริ่มแรกที่หยิบจับ วลีคำออกจากปากจะรู้ได้ถึงความตั้งใจ ใจมีต้องมากความเพียรจงพร่ำสอนอย่าสอนให้พวกแฝงอยากเป็นให้รู้เห็น สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นจะมีค่านำไปขายต่อกันนั้นคือนามแห่งเรา ชนนีบนพลังพญาราชส์ในบาทวิถีแห่งมายาศรัทธา …
เมื่อการสอนทำให้เจ้ารู้ได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่สอนไปนั้นเขาผู้นั้นรับได้มากน้อยเพียงใด ของพลีบูชาถวายยังแยกจำแนกว่าต้องใช้ดินคู่น้ำ ต้องมีน้ำไว้ดับไฟ จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าคนบนเรือนนั้นไม่ต้องมีมากๆคนจะมากความน้อยคนแต่มากด้วยคุณค่าความเป็นคนพอ คนทุกคนที่๙เท้าเข้ามาหาเรานั้นต่างเกิดศรัทธาในใจจากคำบอกเล่า จงเปลี่ยนจากคำบอกเล่าให้กลายเป็นความจริง ดินจริง น้ำจริง ไฟจริง บุปผา-แมกไม้นานาพรรณจริง คนที่หยิบจับขึ้นพลีสรรเสริญถวายต่อเราก็ต้องผ่าน๒มือของคนจริงด้วยเช่นกัน คนจริงหาไม่ยากเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์คุณค่าความเป็นคนว่าคนที่ผ่านการเรียนรู้นั้นมากความตั้งใจในการจัดเตรียมหาสิ่งง่ายๆที่เราต้องใช้ เราหาใช่ให้หาดาวเดือนมาเคียงสถาน หาดินเพื่อรู้คุณค่าของดิน หาน้ำก็เพื่อรู้คุณค่าของน้ำ คนเคียงข้างก็ต้องรู้คุณค่าในความเป็นเจ้าเช่นกัน จะมีกันและกันหรือเราที่มีกันก็ไม่เท่าเรามีเราเท่านี้พอ คนเคียงเรือนต้องไม่สร้างความวุ่นวายใดๆมาสู่เรือน คนบนเรือนต้องไม่สร้างความราวฉานให้กำเนิดเกิดขึ้นบนเรือน เราเองก็เป็น๑ชนนีบนเรือนเราไม่เคยใฝ่รู้ความใครบนเรือน เราไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใครในเรือน เราไม่อยากที่จะได้แม้ใจใครมาเคียงนามแห่งเรา ทุกสิ่งต้องคิดให้เป็นเพราะเจ้านั้นคือบานทวารแห่งเราถึงเวลาต้องคัดกรองจำแนกแยกคนและฅนให้เป็น งานใหญ่ที่ต้องทำยังมีอีกมากมายหลายสิ่ง จากนี้ไปงานที่ทำหาใช่งานสร้างคนให้เป็นคนรายวันแต่เป็นงานรวมคนสร้างไว้ในคุณงามความดี ศรัทธาหาใช่ความงมงายที่นั่งเสกเป่าสิ่งที่หงายให้คว่ำ ยืนเสกสิ่งที่คว่ำให้หงาย ลมพัดใบไม้ปลิวเป็นเรื่องธรรมดาหาใช่เรื่องวิเศษ พึงวางเศษของฅนไว้ข้างทางอย่าเก็บเกี่ยวใครมาร่วมทางหาได้ช่วยให้เสร็จสำเร็จไม่ มากฅนมักมากความ ความสำเร็จบังเกิดได้ด้วยตัวเจ้าเอง …
เราที่เป็นเรานั้นยากที่จะเข้าถึง ด้วยคำกล่าวขานเล่าขยายในพระนามแห่งเรากล่าวว่าไว้เรานั้น คือ ชนนีแห่งความดุร้าย เจ้าสัมผัสกับสิ่งที่เป็นเราผ่านมายาในมายาที่เจ้ากระทำในทุกสิ่ง เราใช่อย่างที่ใครต่อใครกล่าวขานถึงนามแห่งเราเช่นนั้นหรือ ถ้าเราเป็นชนนีแห่งความดุร้าย ถ้าเราเป็นชนนีกำเนิดเกิดขึ้นมาเพื่อปรารถนาในการฆ่า แล้วไฉนฅนที่ใช้นามแห่งเราไปลวงคนผู้บริสุทธิ์ให้ได้มาซึ่งสุขแห่งตน เราถึงไม่ตามฆ่าให้สิ้นภพจบชาติไปจากนามแห่งเราเล่า …
เราไม่ใช่ภาพลักษณ์แห่งความน่ากลัวแต่เราคือชนนีแห่งสรรพสิ่งที่พร้อมนำพาให้ทุกสิ่งเกิดความสมดุลในรูปของบุญที่เรียกว่าสุข และ บาปในรูปของทุกข์ เราเสมือนอารมณ์ร้ายที่แฝงอยู่ภายในจิตสตรีเพศแม่เพื่อปกป้องความถูกต้องและสิ่งที่เราปกป้องนั้นคือบุตรที่อยู่บนผืนปฐวี ที่ต่างพลีสรรเสริญถวายต่อนามแห่งเราให้คงอยู่เคียงคู่ความสันติสุข เราไม่เคยหวังในชีวิตของสรรพสิ่งใดๆที่มนุษย์เช่นเจ้านำมาพลีถวายต่อเราเลย เราไม่เคยหวังในโลหิตของหมู่มารตนใดเพราะเรานั้นหาใช่เทวีผู้ปรารถนาในคาวโลกีย์ที่มากด้วยกิเลสแสวงตัณหาใฝ่ราคะหรือก็ไม่ ตรงกันข้ามผู้ศรัทธาในนามแห่งเราต่างหลงในรูปที่ถูกหยิบยื่นค่ำเล่าขานสืบกันถึงความดุร้ายน่ากลัวให้แก่เรา โกรธก็มหากาลี ดุร้ายก็มหากาลี ฆ่าก็มหากาลี นามแห่งเราถูกกำหนดในจิตของศรัทธาที่หลงผิดกับการตั้งจิตวิงวอนร้องขอต่อเราในสิ่งผิดๆมานานหลายศตวรรษ จะปล้น จะฆ่า จะสาดเสียเทเสียกลับอักขระนิยมใช่ในวิขามนต์ดำก็หนีไม่พ้นนามแห่งเรา ศรี มหากาลี จงบอกเล่าความเป็นเล่าให้รอบข้างบนเรือนเจ้าได้ฟัง เปลี่ยนความกลัวเป็นความเกรง เปลี่ยนความเล่าอ้างเป็นการลงมือกระทำ เปลี่ยนความลวงให้เป็นความจริง เปลี่ยนมายาแสร้งสาไถให้เป็นตัวตนของตนคือคนจริง เปลี่ยนกำให้เป็นแบ แบมือให้เปิดกว้างพร้อมหยิบจับสิ่งต่างขึ้นพลีถวายเงาฉายแห่งเรา เราคือชนนีมากความการุณย์ หาใช่เทวีชนนีผู้กำเนิดเกิดมาเพื่อฆ่า ฆ่า ทำลายล้างให้ดับสิ้นลงด้วยนามแห่งเราไม่ *** ศรี มหากาลี จงเจริญ *** … เพลิงในมายา